ระบบติดตั้งฟาซาดคืออะไร? รู้จักแนวคิด วิธีการ และประเภทระบบติดตั้งฟาซาด | Outside In

ถ้าเรามองฟาซาดว่าเป็นเหมือน “เสื้อคลุมของอาคาร” ที่ช่วยให้หน้าตาดูดีขึ้น ควบคุมแสงแดด ลม ความร้อน หรือแม้แต่ภาพลักษณ์ของแบรนด์ สิ่งที่ทำให้เสื้อตัวนั้นอยู่กับตัวอาคารได้อย่างมั่นคง ไม่หลุดร่วง ไม่เสียทรง ก็คือ ระบบติดตั้งฟาซาด นั่นเอง

หลายครั้งที่คนสนใจแค่ “วัสดุฟาซาด” เช่น กระจก อลูมิเนียม เหล็ก หรือซีเมนต์บอร์ด โดยลืมไปว่าวัสดุเหล่านั้นต้องมีระบบยึดจับที่เหมาะสมเพื่อให้ทำงานได้จริง ไม่แตกร้าว ไม่รั่ว ไม่พังกลางทาง ซึ่งระบบที่ว่านี้ไม่ได้มีแค่แบบเดียว แต่มีหลากหลายประเภท และแต่ละแบบก็มาพร้อมข้อดี ข้อจำกัด และงบประมาณที่ต่างกัน

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับโลกเบื้องหลังของฟาซาดที่มองไม่เห็นแต่มีผลต่อทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกแบบ หน้างานติดตั้ง ไปจนถึงการบำรุงรักษาในระยะยาว

สิ่งที่คุณจะได้รู้จากบทความนี้

  • ความหมายของ “ระบบติดตั้งฟาซาด” แบบเข้าใจง่าย

  • ความแตกต่างระหว่างระบบฟาซาดกับแค่วัสดุฟาซาด

  • ประเภทของระบบติดตั้งยอดนิยม เช่น Stick / Unitized / Semi-unitized

  • องค์ประกอบย่อยของระบบติดตั้ง เช่น โครงยึด ซีล ยาง กันลม

  • วิธีเลือกระบบให้เหมาะกับอาคารแต่ละแบบ ทั้งสูง–เตี้ย งบมาก–น้อย

  • สรุปภาพรวมพร้อมทางลัดไปอ่านต่อในบทความเฉพาะทาง

ไม่ว่าคุณจะเป็นสถาปนิก วิศวกร เจ้าของโครงการ หรือผู้ที่กำลังจะรีโนเวตอาคาร ฟาซาดที่ดีจะเริ่มต้นจาก “ระบบติดตั้งที่คิดมาแล้ว” และเราจะพาคุณเข้าใจทั้งหมดในบทความนี้

ระบบติดตั้งฟาซาดคืออะไร?

หลายคนที่เริ่มสนใจเรื่องฟาซาดอาจคุ้นกับคำว่า “หน้าตึก”, “แผ่นอลูมิเนียม”, หรือ “ฟาซาดกระจก” แต่สิ่งหนึ่งที่มักถูกละเลยหรือไม่พูดถึงในตอนเริ่มต้นก็คือ ระบบที่ใช้ติดตั้งวัสดุเหล่านั้นเข้ากับตัวอาคาร ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นหัวใจของงานฟาซาดโดยเฉพาะในอาคารสูงหรือโปรเจกต์ที่มีรายละเอียดซับซ้อน

ลองนึกภาพถ้าคุณเลือกวัสดุฟาซาดที่สวยแค่ไหน แต่ระบบติดตั้งไม่ได้ออกแบบมาให้รองรับน้ำหนัก ลม หรือการขยายตัวจากความร้อน—สุดท้ายอาจกลายเป็นฟาซาดที่รั่ว ร้อน แตก หรือหลุดร่วงในไม่กี่ปี

เพราะฉะนั้น ก่อนจะไปไกลถึงเรื่องวัสดุหรือดีไซน์ ต้องย้อนกลับมาที่คำถามพื้นฐานให้ชัดก่อนว่า “ระบบติดตั้งฟาซาด” จริงๆ แล้วมันคืออะไร

นิยามของระบบติดตั้งในงานฟาซาด

ระบบติดตั้งฟาซาดคือ ชุดของโครงสร้างย่อยและกลไกทางวิศวกรรม ที่ทำหน้าที่ยึด “วัสดุฟาซาด” ไม่ว่าจะเป็นแผ่น กระจก เหล็ก หรืออื่นๆ ให้ติดแน่นอยู่กับอาคารในแบบที่ปลอดภัย กันน้ำ กันลม และยืดหยุ่นพอสำหรับการขยายหรือเคลื่อนไหวตามธรรมชาติของอาคาร

มันไม่ได้หมายถึงวัสดุฟาซาดโดยตรง แต่คือสิ่งที่อยู่ “ด้านหลัง” หรือ “ซ่อนอยู่” และทำให้วัสดุเหล่านั้นทำงานได้จริงในระยะยาว เช่น:

  • โครงเหล็กยึดแผงอลูมิเนียม

  • ชุดสกรู/ราง/คลิปล็อก

  • ระบบกันน้ำรั่วซึม

  • ระบบซีลกันลม

  • ช่องลมเพื่อระบายความร้อน

ทั้งหมดนี้รวมกันคือ “ระบบติดตั้ง” ซึ่งต้องออกแบบให้สอดคล้องกับวัสดุ ขนาดอาคาร ทิศทางลม และงบประมาณที่มีอยู่

ความแตกต่างระหว่าง “ระบบฟาซาด” กับ “วัสดุฟาซาด”

ประเด็นนี้สร้างความเข้าใจผิดได้ง่ายในวงการก่อสร้าง โดยเฉพาะเมื่อลูกค้าหรือบางทีแม้แต่ทีมออกแบบยังใช้คำสองคำนี้สลับกัน

  • วัสดุฟาซาด หมายถึง ผิวสัมผัสที่เรามองเห็น เช่น กระจกใส อลูมิเนียมเจาะรู เหล็กฉลุลาย เซรามิก ฯลฯ

  • ระบบฟาซาด หรือ “ระบบติดตั้งฟาซาด” คือ โครงสร้างที่ใช้ติดตั้งวัสดุนั้นกับตัวอาคาร และทำให้มันกันแดด กันลม และปลอดภัยได้

ตัวอย่าง:

  • ใช้แผ่นอลูมิเนียมชนิดเดียวกันก็จริง แต่ถ้าใช้ “Stick System” กับ “Unitized System” ผลลัพธ์เรื่องเวลา ความแข็งแรง และงบ จะต่างกันชัดเจน

  • หรือแม้แต่กระจกฟาซาดแบบเดียวกัน ถ้าใช้ “Structural Glazing” กับ “Frameless System” ก็จะได้ภาพลักษณ์คนละแบบ

สรุปคือ วัสดุคือสิ่งที่เราเห็น แต่ระบบคือสิ่งที่ทำให้วัสดุนั้นอยู่ตรงนั้นได้จริง

บทบาทของระบบติดตั้งในงานออกแบบฟาซาด

เวลาเรามองเห็นฟาซาดที่สวยงาม ดูโปร่ง ดูทันสมัย หรือมีลวดลายเฉพาะตัว คนส่วนใหญ่มักจะชื่นชมแค่ “วัสดุด้านหน้า” เช่น กระจก แผ่นอลูมิเนียม หรือแผงเหล็กฉลุลาย แต่แท้จริงแล้ว เบื้องหลังความเรียบร้อยเหล่านั้นคือ ระบบติดตั้งที่ถูกคิดมาล่วงหน้าอย่างแม่นยำ ทั้งเชิงวิศวกรรมและการออกแบบ

ระบบติดตั้งไม่ได้เป็นแค่เรื่องเทคนิคของช่างหรือวิศวกร แต่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการออกแบบตั้งแต่วันแรกที่สถาปนิกวางคอนเซ็ปต์ เพราะมันคือสิ่งที่แปลนดีๆ จะสำเร็จหรือพังในหน้างานได้เลย

โครงสร้างเบื้องหลังความงามของเปลือกอาคาร

การที่ฟาซาดจะดู “ลอยตัว”, “ไร้โครง”, หรือ “ไม่มีรอยต่อ” ได้นั้น มักไม่ใช่เพราะวัสดุเอง แต่เป็นเพราะระบบติดตั้งเบื้องหลังที่ถูกออกแบบมาให้ รองรับน้ำหนัก, ปรับองศา, และกระจายแรง ได้อย่างพอดีโดยไม่แสดงตัว

ในหลายกรณี ระบบติดตั้งต้องออกแบบให้ยืดหยุ่นเพื่อรับการขยายตัวของวัสดุเมื่อเจอแดดแรง, กันน้ำฝนที่ไหลตามแนวแรงโน้มถ่วง, หรือแม้แต่รองรับแรงลมจากอาคารสูง ซึ่งทั้งหมดต้องซ่อนอยู่หลังวัสดุและ “ไม่ให้เห็น” นี่แหละคือความยากที่ทำให้งานฟาซาดดูดีจริงได้

ความสัมพันธ์ระหว่างระบบติดตั้งกับโครงสร้างอาคารหลัก

ฟาซาดจะเกาะอยู่กับอาคารไม่ได้เลย ถ้าไม่มีโครงสร้างที่รองรับ ทั้งในเชิงระยะ (offset จากผนัง), น้ำหนักบรรทุก, และวิธีการยึดติด โดยเฉพาะอาคารสูงที่แรงลมและแรงสั่นสะเทือนมีผลมาก

การออกแบบฟาซาดจึงต้องเริ่มตั้งแต่การประสานงานระหว่างสถาปนิกกับวิศวกรโครงสร้าง เช่น

  • ถ้าฟาซาดยื่นจากผนังมากเกินไป ต้องเสริมเหล็กเพิ่มในชั้นโครงสร้างตั้งแต่แรก

  • ถ้าระบบติดตั้งต้องการพุกรับน้ำหนักเฉพาะจุด วิศวกรต้องรู้ตำแหน่งล่วงหน้า

  • หากเลือกใช้ระบบ Unitized ที่ยกแผงมาติดทั้งชิ้น จะต้องเตรียมโครงสร้างให้ติดตั้งได้เร็วและแม่นยำ

พูดง่ายๆ คือ ถ้าทีมออกแบบไม่คิดเรื่องระบบติดตั้งไว้แต่แรก หน้างานจะยุ่งยากมาก และต้องแก้ไขโครงสร้างเดิมที่อาจทำไม่ทัน

ผลต่อความรวดเร็วในการก่อสร้างและบำรุงรักษา

ระบบติดตั้งมีผลต่อเวลาและงบในหน้างานโดยตรง โดยเฉพาะโครงการในเมืองที่มีข้อจำกัดเรื่องเสียง ฝุ่น และเวลาในการทำงาน

  • ระบบสำเร็จรูป (Unitized / Semi-unitized): ช่วยให้ติดตั้งได้เร็ว ลดการทำงานบนพื้นที่สูง และลดความผิดพลาด onsite เพราะประกอบมาเรียบร้อยจากโรงงานแล้ว

  • ระบบ Stick (หน้างานประกอบทีละชิ้น): ใช้เวลานานกว่า แต่ยืดหยุ่นสูง สามารถปรับ onsite ได้ตามหน้างานจริง

นอกจากนี้ ระบบที่ออกแบบให้ “ถอดเปลี่ยนชิ้นส่วนได้ง่าย” จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อม–บำรุงระยะยาว เช่น ถ้าแผงกระจกแตกเพราะลูกเห็บ ก็ไม่ต้องรื้อทั้งแนว แค่ถอดเปลี่ยนเฉพาะจุด

สรุปคือ:
ระบบติดตั้งไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิคของช่าง แต่มันคือ จุดเชื่อมต่อของทุกฝ่ายในโครงการ ตั้งแต่คนออกแบบ คนคำนวณ คนผลิต ไปจนถึงคนใช้งานอาคารจริง
และถ้าคิดให้ดีตั้งแต่ต้น มันจะช่วยให้โปรเจกต์ทั้งสวย ทำงานได้จริง และไม่บานปลายงบในภายหลัง

ประเภทของระบบติดตั้งฟาซาดที่ควรรู้

การเลือก “ระบบติดตั้ง” สำหรับฟาซาดนั้นไม่ได้มีคำตอบเดียว เพราะแต่ละโปรเจกต์มีเงื่อนไขต่างกัน ทั้งด้านงบ เวลา ขนาดอาคาร ความซับซ้อน และเป้าหมายของการออกแบบ ซึ่งระบบแต่ละแบบก็มีจุดแข็งจุดอ่อนของตัวเอง

หัวข้อนี้เราจะพาไปรู้จักกับประเภทของระบบติดตั้งหลักๆ ที่ใช้จริงในวงการก่อสร้างและสถาปัตยกรรมปัจจุบัน พร้อมคำอธิบายแบบเข้าใจง่าย เพื่อให้คุณเลือกใช้ได้ตรงจุดที่สุด และถ้าสนใจระบบไหนเป็นพิเศษ ก็สามารถไปอ่านบทความแยกที่ลงรายละเอียดไว้เฉพาะระบบนั้นๆ ได้เลย

ระบบติดตั้งแบบเปลือกชั้นเดียว (Single-skin System)

ระบบนี้ถือว่าเป็นรูปแบบพื้นฐานที่สุดของงานฟาซาด โดยใช้วัสดุแค่ “ชั้นเดียว” เป็นตัวทำหน้าที่ทั้งด้านโครงสร้างและการตกแต่ง เช่น แผ่นอลูมิเนียมคอมโพสิต, เหล็กเจาะรู, หรือไม้เทียม

จุดเด่นคือโครงสร้างไม่ซับซ้อน ติดตั้งง่าย และมีความบาง น้ำหนักเบา เหมาะกับอาคารขนาดกลาง–เล็ก หรืออาคารที่ไม่ได้มีข้อจำกัดเรื่องพลังงานหรือความร้อนมากนัก

แต่ข้อเสียคือไม่สามารถกันความร้อนได้ดีเท่าระบบที่มีหลายชั้น และอาจต้องพึ่งพาฉนวนหรือโครงสร้างเสริมเพิ่มเติมถ้าต้องการประสิทธิภาพมากขึ้น

ระบบ Double Skin Facade

ระบบนี้ใช้ฟาซาด “สองชั้น” ซ้อนกันโดยเว้นช่องอากาศไว้ตรงกลาง ทำให้สามารถควบคุมการไหลของลม ความร้อน และแสงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะกับอาคารที่ต้องการประหยัดพลังงานระดับสูง หรืออยู่ในสภาพอากาศร้อนจัด

ตัวอย่างเช่น อาคารสำนักงานในเมืองที่ฟาซาดชั้นนอกเจาะรูเพื่อกรองแดด ส่วนฟาซาดชั้นในเป็นกระจกใส เพื่อให้แสงธรรมชาติยังส่องเข้าได้

เนื่องจากระบบนี้มีความซับซ้อนสูง บทความแยกจะอธิบายรายละเอียดของ Double Skin Facade ทั้งประเภท ช่องอากาศ แนวทางออกแบบ และตัวอย่างอาคารจริงที่ใช้งานได้ดี

ระบบ Unitized Facade System

ระบบนี้คือรูปแบบ สำเร็จรูปเต็มรูปแบบ โดยทุกแผงฟาซาดจะถูกผลิตและประกอบมาจากโรงงานแบบครบชิ้น ไม่ว่าจะเป็นโครง กระจก อุปกรณ์ซีล กันลม กันน้ำ ฯลฯ แล้วจึงนำมายกติดตั้งกับอาคารทีละแผง

ข้อดีคือเร็วมาก หน้างานสะอาด มีคุณภาพการประกอบที่สม่ำเสมอเพราะอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมโรงงาน แต่ก็ต้องการความแม่นยำสูงในการออกแบบและเตรียมโครงสร้าง เพราะทุกตำแหน่งต้องเป๊ะก่อนจะติดตั้งได้จริง

หากคุณต้องการเจาะลึกวิธีทำงาน ข้อควรระวัง และตัวอย่าง Unitized Facade เรามีบทความแยกอธิบายไว้โดยเฉพาะ

ระบบ Semi-unitized Facade System

ระบบนี้เป็นเหมือน “ลูกผสม” ระหว่าง Unitized กับ Stick โดยจะประกอบโครงหลัก (main frame) จากโรงงานก่อน แล้วค่อยนำวัสดุฟาซาด เช่น กระจกหรือแผ่นปิดผิว มาติด onsite ทีละส่วน

ข้อดีคือยังคงคุณภาพการประกอบบางส่วนจากโรงงาน แต่มีความยืดหยุ่นในการติดตั้ง onsite มากกว่า Unitized เหมาะกับอาคารขนาดกลาง–ใหญ่ ที่ต้องการควบคุมคุณภาพแต่ยังต้องการความยืดหยุ่นในหน้างาน

หากสนใจเทคนิคเฉพาะ ข้อดี-ข้อจำกัด และกรณีตัวอย่างของ Semi-unitized ก็สามารถไปดูในบทความเฉพาะทางได้เช่นกัน

ระบบ Stick System (Conventional Site-installed System)

เป็นระบบที่ประกอบฟาซาดทุกชิ้น ในหน้างานทั้งหมด ตั้งแต่โครงยึด กระจก ปะเก็น ซีล ไปจนถึงแผ่นปิดข้าง มีความยืดหยุ่นสูงมาก เหมาะกับอาคารที่มีรูปทรงซับซ้อน หรือยังมีการเปลี่ยนแปลงแบบระหว่างก่อสร้าง

ข้อดีคือสามารถปรับแก้ได้ง่าย onsite ไม่ต้องพึ่งการผลิตจากโรงงานมากนัก เหมาะกับโปรเจกต์ที่เปลี่ยนบ่อยหรือมีงบจำกัด

แต่ข้อเสียคือใช้แรงงาน onsite มาก โอกาสผิดพลาดสูง และควบคุมคุณภาพได้ยากกว่าระบบสำเร็จรูป

องค์ประกอบพื้นฐานที่ใช้ในระบบติดตั้งฟาซาด

ระบบฟาซาดที่เราเห็นว่า “ลอยตัว” “ไม่มีรอยต่อ” หรือ “แนบเนียนไปกับอาคาร” เบื้องหลังความเรียบร้อยนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากวัสดุเพียงอย่างเดียว แต่มาจากการวาง องค์ประกอบย่อยแต่ละชิ้น ที่ทำหน้าที่เฉพาะอย่าง ซึ่งต้องถูกคิดตั้งแต่ขั้นออกแบบ และเลือกใช้ให้เหมาะกับแต่ละระบบติดตั้ง

ลองนึกภาพว่าโครงสร้างของฟาซาดก็เหมือนการประกอบเฟอร์นิเจอร์บิ้วอินที่ต้อง “มีโครง” “มีจุดยึด” “มีตัวกันช่องว่าง” และ “มีตัวซับแรง” หากขาดไปเพียงจุดเดียว อาคารอาจมีปัญหาในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการรั่วซึม เสียงลอด หรือแรงสั่นสะเทือนที่มากเกินไป

โครงยึด (Sub-frame / Bracket System)

โครงยึดคือหัวใจหลักที่ทำหน้าที่ยึดวัสดุฟาซาดเข้ากับตัวอาคาร ไม่ว่าจะเป็นคอนกรีต เสา หรือโครงเหล็ก โดยต้องรองรับน้ำหนักและแรงต่างๆ ที่มากระทำ เช่น แรงลม แรงดึงจากการขยายตัว หรือแม้แต่แรงกระแทกจากภายนอก

รูปแบบโครงยึดมีหลายชนิด เช่น:

  • L-Bracket, T-Bracket ใช้ยึดจุดรับน้ำหนักเฉพาะ

  • Sub-frame ต่อเนื่องแนวดิ่ง/แนวนอน สำหรับการติดตั้งแผงฟาซาดที่ต้องต่อเนื่องหลายชั้น

  • Adjustable Bracket ที่สามารถปรับระดับ onsite ได้เพื่อแก้ความเอียงหรือแนวที่ไม่ตรง

วัสดุที่ใช้ทำโครงยึดก็มักจะเลือกจากความทนทาน เช่น เหล็กกัลวาไนซ์ หรืออลูมิเนียมเสริมความแข็งแรง

ระบบเชื่อมต่อและ Joint Sealant

ทุกวัสดุมีขอบ มีช่อง มีรอยต่อ และช่องว่างเหล่านี้คือตัวแปรสำคัญว่าจะมีน้ำรั่ว ลมเข้า หรืออากาศร้อนลอดได้หรือไม่

ระบบซีลและการเชื่อมต่อที่ดีจะช่วยให้ฟาซาดทำงานได้ตามที่ออกแบบ เช่น:

  • ใช้ Silicone Sealant หรือ PU Sealant ที่มีความยืดหยุ่นสูงในการอุดรอยต่อ

  • มี Backing Rod หรือแผ่นรองซีลสำหรับควบคุมความหนา

  • ติดตั้ง Cover Cap หรือแผ่นซ้อนทับเพื่อปิดรอยต่อให้แนบสนิท

นอกจากกันน้ำ กันลมแล้ว รอยต่อยังต้องเผื่อการขยายตัวของวัสดุด้วย เพื่อไม่ให้แตกร้าวเมื่อโดนแดดแรงหรืออุณหภูมิเปลี่ยนเร็ว

ระบบระบายน้ำ / กันลม / ช่องลม

ในระบบติดตั้งฟาซาด ไม่ได้แค่ยึดวัสดุให้อยู่กับที่เท่านั้น แต่ต้องวาง “เส้นทางให้น้ำไหลออกได้” และ “ให้อากาศถ่ายเท” โดยไม่รั่วไหลเข้าไปภายในอาคาร

องค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง ได้แก่:

  • Drip Edge / Gutter ช่องรางน้ำ สำหรับเบี่ยงทิศทางน้ำฝน

  • ช่องลมแนวตั้ง (Vertical Vent) หรือ แนวนอน (Horizontal Slot) ที่ช่วยให้ลมถ่ายเทในระบบ Double Skin หรือ Perforated Facade

  • Pressure Equalization Zone ที่ใช้ลดแรงดันลมซึ่งเป็นตัวการดันน้ำเข้ารอยต่อ

สิ่งเหล่านี้อาจไม่ได้มองเห็นจากภายนอก แต่เป็นสิ่งที่ทำให้ฟาซาด “ทำงานได้จริง” ไม่ใช่แค่สวย

อุปกรณ์ช่วยลดแรงกระแทก (Shock Absorber / Thermal Break)

สุดท้ายคือองค์ประกอบที่ช่วยดูดซับแรงที่อาจเกิดจากการสั่นสะเทือน ความร้อน หรือการกระแทกกะทันหัน

  • Shock Absorber หรือ Gasket ยางยืดหยุ่น: ลดการสั่นจากแรงลม หรือลูกเห็บ

  • Thermal Break: วัสดุแทรกกลางระหว่างโลหะกับโครงสร้างหลัก ป้องกันความร้อนนำเข้าสู่อาคาร และลดการถ่ายเทเสียง

องค์ประกอบกลุ่มนี้อาจดูเป็น “รายละเอียดเล็กๆ” แต่ในอาคารสูงหรืออาคารที่ต้องการประสิทธิภาพสูง เช่น โรงแรม โรงพยาบาล หรือสำนักงานใหญ่ ถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ห้ามมองข้าม

สรุปแล้ว องค์ประกอบพื้นฐานของระบบติดตั้งฟาซาด เปรียบได้กับ “กระดูกสันหลัง” ที่รองรับทั้งภาพลักษณ์ การทำงาน และอายุการใช้งานของเปลือกอาคารทั้งหมด

วิธีเลือกระบบติดตั้งให้เหมาะกับอาคาร

ระบบฟาซาดไม่ได้มีแบบเดียวที่ใช้ได้กับทุกอาคาร และไม่มีระบบใดดีที่สุดในทุกด้าน แต่ละโปรเจกต์ควรเลือกระบบติดตั้งที่เหมาะสมกับ “เงื่อนไขจริง” ของอาคารนั้นๆ ตั้งแต่ขนาดอาคาร งบประมาณ ไปจนถึงภาพลักษณ์ที่ต้องการสื่อสาร

หัวข้อนี้จะพาไปรู้จักกับปัจจัยหลักที่ควรใช้ในการตัดสินใจก่อนเลือกระบบติดตั้งใดระบบหนึ่ง โดยมีคำแนะนำแบบเป็นเหตุเป็นผล ช่วยให้เลือกได้อย่างมั่นใจ และลดความผิดพลาดในระยะยาว

พิจารณาตามขนาดอาคารและระดับความสูง

หากอาคารของคุณเป็นอาคารสูง เช่น คอนโด สำนักงาน หรือโรงแรม ระบบที่เหมาะสมมักจะเป็น Unitized หรือ Semi-unitized เพราะสามารถผลิตแผงล่วงหน้าและติดตั้งได้อย่างรวดเร็ว ลดเวลาเผชิญแรงลมบนที่สูง และปลอดภัยกว่าในหน้างาน

แต่ถ้าอาคารมีขนาดเล็กหรือความสูงไม่เกิน 5 ชั้น เช่น อาคารพาณิชย์ หรือบ้านพักอาศัย ระบบ Stick หรือ Single-skin ก็อาจตอบโจทย์ได้ดีกว่า เพราะประหยัดและสามารถปรับเปลี่ยนได้ง่าย onsite

สภาพแวดล้อมและทิศทางแดด–ลม

ถ้าอาคารตั้งอยู่ในจุดที่แดดแรงมาก ลมแรง หรือฝนชุก เช่น ทิศตะวันตกในเขตร้อน ควรเลือกระบบที่มีความสามารถในการ “ควบคุมสภาพแวดล้อม” เช่น:

  • Double Skin Facade สำหรับระบายความร้อน

  • ระบบที่มีช่องลม / แผงเจาะรู สำหรับตัดแสงและถ่ายเทอากาศ

  • ระบบมีซีลแน่นหนา กันน้ำและฝนในพื้นที่เสี่ยงรั่ว

หากอาคารอยู่ในเขตอุตสาหกรรมหรือใกล้ชายทะเล ยังต้องระวังเรื่องไอเค็มหรือฝุ่น ซึ่งมีผลต่อวัสดุและระบบติดตั้งด้วย

งบประมาณ เวลา และความซับซ้อนของโครงการ

ไม่ว่าจะออกแบบดีแค่ไหน ถ้างบไม่พอหรือเวลาจำกัด ก็อาจต้องเลือกระบบที่ “สอดคล้องกับทรัพยากรจริง”

  • ถ้างบสูง และต้องการควบคุมคุณภาพ → Unitized จะเหมาะที่สุด

  • ถ้าอยากยืดหยุ่น ประหยัด และปรับเปลี่ยน onsite → Stick System น่าจะตอบโจทย์

  • ถ้าอยากบาลานซ์ทั้งสองอย่าง → Semi-unitized คือคำตอบกลางที่หลายโครงการเลือกใช้

เวลาติดตั้งก็สำคัญ บางโครงการมีข้อจำกัดเรื่องเสียง หรือข้อจำกัดพื้นที่ในหน้างาน อาจไม่สะดวกทำ onsite มากๆ ต้องเลือกระบบที่ใช้แรงงานน้อย ติดตั้งไว เช่น Unitized

ความต้องการด้านความยืดหยุ่นในการเปลี่ยนหรือบำรุงรักษา

อาคารที่มีแผนต้องซ่อมบำรุงบ่อย เช่น ห้างสรรพสินค้า หรืออาคารที่มีร้านค้าเปลี่ยนผู้เช่าบ่อย ควรเลือกระบบที่สามารถ “ถอด–เปลี่ยนได้ง่าย” โดยไม่กระทบทั้งแนว เช่น Semi-unitized หรือ Stick

แต่ถ้าเป็นอาคารที่เน้น sealed system เพื่อ performance สูง เช่น โรงพยาบาล โรงแรมระดับบน หรือสำนักงานใหญ่ อาจต้องใช้ระบบปิดอย่าง Unitized แล้ววางแผนบำรุงรักษาในรอบใหญ่แทน

Contextual Connection:
หากอาคารของคุณตั้งอยู่ในพื้นที่ร้อนจัดหรือชื้นสูง ควรอ่านต่อในบทความ

  • “ฟาซาดในภูมิอากาศร้อน: วิธีออกแบบให้เย็น–อยู่สบาย”
    หรือ

  • “ฟาซาดอัจฉริยะ: เมื่อเปลือกอาคารไม่ใช่แค่สวย แต่ต้องตอบสนองอัตโนมัติ”

ความแตกต่างของระบบติดตั้งแต่ละแบบในภาพรวม

พอพูดถึง “ระบบติดตั้งฟาซาด” หลายคนอาจเริ่มงงว่าทำไมชื่อเรียกถึงหลากหลาย ทั้ง Unitized, Semi-unitized, Stick หรือแม้แต่ Double Skin กับ Single Skin แต่ละคำที่ว่ามีความหมายในเชิงโครงสร้างและการทำงานจริงที่แตกต่างกันพอสมควร และถ้าไม่เข้าใจตั้งแต่ต้น ก็อาจเลือกผิดจนทำให้งบไหล หรือเจอปัญหาในหน้างานได้ง่ายๆ

หัวข้อนี้เราจะเปรียบเทียบระบบยอดนิยมที่ใช้กันจริงในไทย พร้อมแจกแจงความต่างแบบเห็นภาพ และมีตารางสรุปท้ายบทช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้น

Unitized vs Semi-unitized vs Stick System

Stick System คือระบบแบบดั้งเดิมที่ “ประกอบหน้างาน” ชิ้นต่อชิ้น ตั้งแต่โครงยันวัสดุตกแต่ง เหมาะกับอาคารไม่สูงมาก หรือหน้างานที่ไม่เร่งรีบ ข้อดีคือยืดหยุ่นมาก แต่ใช้แรงงานและเวลาสูง

Unitized System จะผลิตแผงฟาซาดทั้งหมดจากโรงงานแบบสำเร็จรูป แล้วยกมาติดทีละแผง เหมาะกับอาคารสูง งานที่ต้องการความรวดเร็ว และควบคุมคุณภาพได้แม่นยำ ข้อเสียคือเปลี่ยนซ่อมเฉพาะจุดได้ยาก และต้องวางแผนล่วงหน้าละเอียด

Semi-unitized System อยู่ตรงกลางระหว่างสองแบบ คือมีบางชิ้นสำเร็จรูปจากโรงงาน แล้วประกอบหน้างานบางส่วน ช่วยบาลานซ์เรื่องงบ เวลาติดตั้ง และความยืดหยุ่น

Double Skin vs Single Skin – ความหนาและชั้นป้องกัน

ฟาซาดแบบ Single Skin มีผิวชั้นเดียวตรงกับวัสดุเปลือก เช่น อลูมิเนียมหรือกระจก ซึ่งตอบโจทย์งานทั่วไป งบจำกัด หรืองานที่เน้นภาพลักษณ์มากกว่าประสิทธิภาพเชิงเทคนิค

ในขณะที่ Double Skin Facade จะมีชั้นเปลือกสองชั้น โดยเว้นช่องว่างระหว่างผนังนอกกับผนังในเพื่อให้ลมไหลผ่าน หรือสร้างฉนวนอากาศกันร้อนกันเสียง เหมาะกับอาคารที่ต้องการ performance สูง เช่น อาคารประหยัดพลังงาน อาคารสำนักงานกลางเมือง หรืออาคารที่หันหน้าเข้าดวงอาทิตย์

ตารางเปรียบเทียบข้อดี–ข้อจำกัดของแต่ละระบบ

ระบบ

ติดตั้งไว

ปรับเปลี่ยนได้

ราคาสูง

กันความร้อนได้ดี

เหมาะกับอาคารสูง

Stick

Unitized

✅✅

✅✅

✅✅✅

Semi-unitized

✅✅

Double Skin

✅✅

✅✅✅

✅✅✅

หมายเหตุ: ✅ = ดี, ✅✅ = ดีมาก, ✅✅✅ = ดีเยี่ยม, ❌ = ไม่เหมาะ

ตารางนี้ไม่ได้ชี้ว่าแบบไหน “ดีที่สุด” แต่ช่วยให้มองเห็นข้อดี-ข้อจำกัดของแต่ละระบบเพื่อใช้พิจารณาให้เข้ากับสถานการณ์จริง

สรุปภาพรวมและการเชื่อมโยงสู่ระบบฟาซาดแบบเฉพาะทาง

ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ยังลังเลว่าควรเลือกระบบฟาซาดแบบไหน คำตอบอาจอยู่ที่ “จุดแข็ง” ที่คุณต้องการจากฟาซาดมากที่สุด เพราะแต่ละระบบมีลักษณะเฉพาะที่เหมาะกับบริบทต่างกัน และบางครั้งอาจต้องใช้งานควบคู่กันก็ยังได้

หากต้องการกันความร้อนดีเยี่ยม → ศึกษาเพิ่มเติมที่ “Double Skin Facade”

ถ้าเป้าหมายหลักของคุณคือการสร้างอาคารที่ เย็นโดยไม่ต้องพึ่งแอร์หนักๆ, ต้องการประหยัดพลังงาน หรืออยู่ในพื้นที่ที่แดดแรงจัดทั้งวัน ระบบ Double Skin Facade คือทางเลือกที่ควรศึกษาเพิ่มเติม เพราะมันสามารถ สร้างฉนวนอากาศ ระหว่างเปลือกอาคารสองชั้นได้โดยไม่ต้องพึ่งวัสดุพิเศษมากนัก

แนะนำให้อ่านบทความ:
“Double Skin Facade คืออะไร? แนวคิด เปรียบเทียบ และตัวอย่างงานจริง”

หากต้องการระบบสำเร็จรูป ติดตั้งไว → ดู “Unitized System”

กรณีที่โครงการของคุณตั้งอยู่ในเมือง มีข้อจำกัดเวลา เช่น ไม่สามารถทำงานกลางคืน, ไม่ให้เกิดเสียงรบกวนมาก, หรือต้องเร่งก่อสร้างให้เสร็จเร็วเพื่อเปิดใช้งาน Unitized System คือคำตอบ เพราะมันช่วยลดเวลาหน้างานได้มหาศาล และควบคุมคุณภาพได้มากกว่าระบบ Stick

อ่านต่อที่บทความ:
“Unitized Facade System: ติดตั้งไว ควบคุมง่าย เหมาะกับอาคารสูง”

หากต้องการสมดุลระหว่างยืดหยุ่นกับประหยัด → เลือก “Semi-unitized System”

สำหรับอาคารที่ต้องการทั้งความเร็วระดับหนึ่ง และความสามารถในการปรับเปลี่ยน onsite เช่น อาคารสำนักงานขนาดกลาง ห้างสรรพสินค้า หรือโครงการเชิงพาณิชย์ที่ไม่ได้ต้องการประสิทธิภาพระดับสูงสุด Semi-unitized คือระบบที่ “กลางๆ” ได้ดีทั้งเรื่องเวลา งบ และความยืดหยุ่น

ลองอ่านบทความนี้ต่อ:
“Semi-unitized Facade: ตัวเลือกกลางที่ตอบโจทย์หลายบริบท”

สรุป – ระบบติดตั้งฟาซาดคือรากฐานของฟาซาดที่ดี และควรเลือกอย่างชาญฉลาดตามลักษณะอาคาร

แม้ว่า “ฟาซาด” จะเป็นสิ่งที่เราเห็นภายนอกชัดเจน แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังและมีผลต่อทั้งความสวยงาม ประสิทธิภาพ และความคงทนในระยะยาว ก็คือ “ระบบติดตั้งฟาซาด” ที่มักถูกมองข้าม

การเลือกระบบติดตั้งที่เหมาะสม ไม่ใช่แค่เรื่องของวิศวกรรมเท่านั้น แต่มันส่งผลถึงขั้นตอนการออกแบบของสถาปนิก งบประมาณที่เจ้าของโครงการต้องเตรียมไว้ วิธีการทำงานของผู้รับเหมา และการดูแลหลังใช้งานของผู้บริหารอาคารในอนาคต

แต่ละระบบไม่ว่าจะเป็น Stick, Unitized, Semi-unitized หรือ Double Skin ล้วนมีจุดแข็งและข้อจำกัดเฉพาะที่เหมาะกับ “อาคารแบบหนึ่งๆ” เท่านั้น ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว

ดังนั้น การเลือกระบบติดตั้งที่ดีจึงควรตั้งต้นจากการวิเคราะห์ “เป้าหมายของอาคาร” ว่าเน้นความเร็ว? ความประหยัด? หรือ performance ระยะยาว? จากนั้นจึงค่อยเลือกระบบที่ตอบโจทย์ที่สุด พร้อมปรับรายละเอียดให้สอดรับกับบริบทจริงทั้งเชิงกายภาพและงบประมาณ

ถ้าฟาซาดคือผิวหนังของอาคาร ระบบติดตั้งก็คือกระดูกและกล้ามเนื้อที่ทำให้เปลือกนั้น “ขยับตัวได้ดี” และ “อยู่ได้นาน” การเลือกให้ถูกตั้งแต่แรก จึงอาจหมายถึงการประหยัดปัญหาได้ตลอดอายุการใช้งาน

FAQs – คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับระบบติดตั้งฟาซาด

ระบบติดตั้งแบบไหนเหมาะกับอาคารสูง?

อาคารสูงที่มีจำนวนชั้นมาก เช่น ตึกสำนักงาน โรงแรม หรือคอนโดมิเนียม ควรเลือกใช้ Unitized System เป็นหลัก เพราะระบบนี้ถูกออกแบบมาให้ผลิตล่วงหน้าในโรงงาน แล้วนำมาประกอบหน้างานแบบแผงต่อแผง จึงช่วยลดระยะเวลาติดตั้งบนที่สูง ลดความเสี่ยงจากแรงลม และควบคุมคุณภาพได้ดีกว่าการทำ onsite แบบ Stick System ซึ่งอาจไม่ปลอดภัยในระดับความสูงมากๆ

ต้องเตรียมโครงสร้างอย่างไรถ้าจะใช้ Unitized System?

ระบบ Unitized ต้องการ “ความแม่นยำของโครงสร้างหลักสูง” ตั้งแต่ระยะระหว่างชั้น (slab to slab), จุดยึด sub-frame, และ alignment ของเสาคานต่างๆ เพราะถ้าโครงสร้างหลักคลาดเคลื่อนเกินกว่าค่ากำหนด แผง Unitized จะติดตั้งไม่ได้เลยหรือเกิดช่องรั่วได้ง่าย นอกจากนี้ยังต้องเตรียม “ระบบแขวน” ให้พร้อมล่วงหน้า และเว้นระยะไว้สำหรับ access เพื่อเครนหรืออุปกรณ์ติดตั้งที่จำเป็น

Stick System ยังเหมาะกับงานสมัยใหม่อยู่ไหม?

คำตอบคือ “ยังเหมาะ” ถ้าใช้ในบริบทที่ถูกต้อง เช่น อาคารไม่สูงมาก งานที่มีรูปทรงเฉพาะ หรือพื้นที่ติดตั้งแคบที่อุปกรณ์ขนาดใหญ่เข้าถึงลำบาก Stick System ยืดหยุ่นมากในการแก้ไข onsite สามารถปรับขนาดหรือรูปแบบระหว่างติดตั้งได้ แต่ต้องใช้แรงงานฝีมือสูง และอาจใช้เวลามากกว่าระบบสำเร็จรูปอย่าง Unitized หรือ Semi-unitized

ระบบติดตั้งฟาซาดเกี่ยวข้องกับการระบายอากาศภายในหรือไม่?

เกี่ยวข้องโดยตรงในหลายกรณี โดยเฉพาะถ้าเป็น Double Skin Facade หรือระบบที่ออกแบบให้มีช่องลมผ่าน เช่น Perforated Panel หรือระบบ Louvers การออกแบบและเลือกระบบติดตั้งจะส่งผลต่อ “การไหลเวียนอากาศ” ทั้งจากภายนอกสู่ภายใน และการไล่ความร้อนออกจากอาคาร ถ้าออกแบบไม่ดี อาจทำให้อากาศร้อนสะสม หรือไม่สามารถระบายลมร้อนออกได้ตามที่ตั้งใจ

ติดต่อเราวันนี้ เพื่อรับคำปรึกษาฟรี

โดดเด่นเหนือใคร ด้วยงานฟาซาดที่ออกแบบมาเพื่ออาคารคุณโดยเฉพาะ
ยกระดับอาคารของคุณให้ไม่เหมือนใคร ด้วยงานบริการจากทุกทีมผู้เชี่ยวชาญของ Outside In

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว We use cookies to improve the performance and experience of our website. You can learn more at Privacy Policy

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า